ในหนึ่งวัน ทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมง
แต่ทำไม เราล้วนมีผลลัพท์ในชีวิตที่ แตกต่าง
ความไม่สมดุลนี้ ทำให้ชาร์ลรู้สึกแปลกใจเมื่อเติบโตขึ้น
เขาจำได้ว่า ทุกคนบอกว่าการทำงานหนักนั้นคือเคล็ดลับสู่ความสำเร็จ
แต่แม่ของเขาก็ทำทั้ง 2 งาน จนชาร์ลโต พวกเขาก็ยังไม่รวย
ต่อมา ทุกคนก็บอกว่า ความลับคือ การศึกษา
ถ้าชาร์ลเรียนหนักและได้เข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ก็จะประสบความสำเร็จ
เขารู้ว่ามันไม่ใช่ความจริงเลย ทำไมคนที่จบด็อกเตอร์ยังต้องดิ้นรนหางานกันล่ะ?
มีบางอย่างไม่ได้บอกเอาไว้
ตั้งแต่โตมาชาร์ลไม่เคยรู้จักคนรวย ดังนั้นเขาจึงเริ่มต้นจากกองหนังสือเป็นตั้งๆ
แต่ละเล่มมันได้มอบอัญมณีชิ้นเล็กๆ
แต่อัญมณีที่ได้จากการอ่านนั้นก็ยังไม่เพียงพอ เขาต้องใช้ประสบการณ์กว่า 13 ปี ถึงจะเข้าใจ
ชาร์ลยังไม่รู้อะไรอีกหลายสิ่งหลายอย่าง
เขาเลยได้พัฒนาเฟรมเวิร์คเฉพาะทางตัวหนึ่งที่ช่วยให้ตัวเองเข้าใจเกี่ยวกับความสำเร็จและการสร้างความมั่งคั่งมากขึ้น
และมีอะไรน่าขำรู้ไหม?
พ่อกับแม่เคยบอกว่าถ้าชาร์ลยังเอาแต่เล่นวิดีโอเกม มันจะทำลายอนาคตของเขา แต่การเล่นเกมอย่าง Starcraft และ Age of empires นั่นแหละที่ทำให้เขาเกิดวินาทีที่ ปิ๊ง ขึ้นมา
การเอาชนะในวิดีโอเกมเหล่านั้นเท่ากับว่าคุณได้พัฒนาทักษะในการจัดการทรัพยากรทั้งหลายนั่นเอง
มันเป็นคอนเซ็ปเดียวกับที่ใช้ในชีวิตจริง
ชาร์ลคิดย้อนกลับไปตอนสมัยไฮสคูล เด็กบางคนเสียเวลาไปกับการปาร์ตี้ ขณะที่หลายคนเรียนและทำกิจกรรมนอกหลักสูตร
เขาทราบว่าบางทีมันก็มีข้อยกเว้น
แต่โดยทั่วไปแล้ว คนที่เรียนหนักมักจะประสบความสำเร็จมากกว่า
พวกเค้าแค่จัดการทรัพยากรได้ดีกว่า
วันนี้ฉันเลยอยากจะแบ่งปัน เฟรมเวิร์คตัวหนึ่งที่ชาร์ลเรียกมันว่า ‘วงล้อแห่งประสิทธิภาพ’
ผลกระทบจากวงล้อ (Flywheel Effect) เป็นแนวคิดที่ได้มาจากหนังสือ Good to Great
มันเป็นการเปรียบเปรยเกี่ยวกับการทำให้เจ้าวงล้ออันใหญ่และหนักมากให้ขยับเคลื่อนที่ออกไป ซึ่งมันต้องใช้ความพยายามอย่างมากในช่วงแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไปเมื่อวงล้อได้รับแรงโมเมนตัมมากพอมันก็จะหมุนได้ด้วยตัวของมันเอง
เคยได้ยินวลีนี้กันไหม ‘คนรวยยิ่งรวย’
ชาร์ลได้ศึกษาวงล้อแห่งประสิทธิภาพ และได้รวมกันกับทรัพยากรต่างๆที่เรามี ได้แก่ เวลา, พละกำลัง, ความสนใจ, และเงิน
ทรัพยากรเหล่านี้เป็นหนทางที่ทำให้เราได้รับประโยชน์ ซึ่งมันจะให้เรามีมากขึ้นกว่าที่เคยมี
วงล้อแห่งประสิทธิภาพนี้เป็นทางหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มประโยชน์ต่างๆ (leverage) ให้กับชีวิตคุณมากขึ้น
ทำความเข้าใจ และวิธีใช้ วงล้อแห่งประสิทธิภาพ
ฉันกำลังจะอธิบายว่าระบบนี้มันทำงานยังไง
ขั้นที่ 1 : การใช้ เวลา / พลังงาน / ความสนใจ ให้ดีขึ้น
คนเราทุกคนมีทรัพยากรเหล่านี้
- เวลา : คุณมี 24 ชั่วโมงในแต่ละวัน
- พลังงาน (พละกำลัง) : นี่คือความสามารถของคุณในการทำงาน เคยพยายามโต้รุ่งบ้างไหม นั่นก็เหมือนกับว่าพลังงานของคุณได้เหลือน้อยแล้ว
- ความใส่ใจ : ความสามารถในการจดจ่อ มีสมาธิ ทั้งหมดของคุณ นี่เป็นทรัพยากรที่ประเมินค่าไม่ได้ มันเป็นการยากในการทำงานสำคัญให้สำเร็จลุล่วงถ้าคุณยังต้องเช็คฟีดในโซเชียลทุก ๆ นาที
ทรัพยากรทั้งหมด 3 อย่างนี้มีความจำเป็นอย่างมากหากคุณต้องการให้งานอะไรก็ตามบรรลุผลสำเร็จ
พูดก็พูดเถอะ เราต่างมี 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ทั้งหมดนั้นมันไม่จริง
คุณอาจจะใช้ 3 ชั่วโมงคิดอยู่บนถนน ส่วนชาร์ลทำงานอยู่บ้าน นั่นหมายความว่า เขามีเวลามากกว่าคุณ 3 ชั่วโมง
ชาร์ลวางแผนจะมีลูกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ซึ่งหมายความว่าเขาจะไม่ได้มีทรัพยากรมากเท่าตอนนี้
มันจะช่วยให้คุณเห็นภาพ ทรัพยากรต่างๆของคุณ ถ้ามันแสดงอยู่ในรูปแถบสถานะที่ยู่ในวิดีโอเกม RPG แทนที่สุขภาพ เรามีเวลา พลังงาน และ การจดจ่อของเรา
ซึ่งก็เหมือนกับวิดีโอเกมนั่นล่ะ กิจกรรมบางอย่างสามารถเพิ่มสถิติให้กับเราได้
มาดูสองคนนี้กัน
ซาร่าเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่ใช้เวลา 3 ชั่วโมงในแต่ละวันบนจราจรบนท้องถนน คุณลองคิดดูว่าในทุก ๆ วันเธอจะเหนื่อยขนาดไหน
จอห์น เพิ่งจบจากมหาวิยาลัย และพ่อแม่ยังช่วยออกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้เขาอยู่ ชีวิตดี๊ดี
ซาร่า คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว
กับ
จอห์นผู้ยังไม่ต้องมีภาระความรับผิดชอบ
จอห์นมีศักยภาพในการทำงานให้เสร็จมากกว่า
นี่คือความจริง : ชีวิตมันไม่แฟร์หรอก
บางคนเกิดมาในครอบครัวฐานะยากจน บางคนไม่ได้เกิดมามีชีวิตที่ได้รับอภิสิทธิ์ต่าง ๆ
ชีวิตก็เหมือนกับเกม : คุณไม่สามารถควบคุมได้ว่าต้องเจอกับอะไร แต่คุณสามารถควบคุมได้ว่าคุณจะเล่นอย่างไร
อย่าทำให้ตัวเองต้องเสียเปรียบตั้งแต่อายุยังน้อย
หากคุณมีเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาเป็นตัวเลขหกหลักเมื่ออายุ 22 ปีและยังหางานไม่ได้ แสดงว่าคุณกำลังเล่นเกมอยู่ในโหมดยากแล้ว
หากคุณเป็นพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยวเมื่อคุณอายุ 16 ปี แสดงว่าคุณกำลังเล่นชีวิตในโหมดยากเช่นกัน
ในแต่ละวันคุณต้องตัดสินใจหลายครั้งว่าจะลงทุน หรือใช้ทรัพยากรของคุณออกไปหรือไม่
การสูญเสียทรัพยากรของคุณหน้าตาเป็นยังไงน่ะหรอ
ดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปเยอะ ๆ ใช้เวลาหลายชั่วโมงในโซเชี่ยลมีเดีย คุณจะเห็นภาพ
แน่นอนว่ามันสนุก แต่ว่ามันก็กลืนกินทรัพยากรของคุณไปเยอะทีเดียว
‘การลงทุนในทรัพยากรของคุณ’ มันหมายความว่ายังไงน่ะหรอ ?
ก็หมายความว่า คุณกำลังใช้เวลา พลังงาน และความสนใจไปกับกิจกรรมต่าง ๆ ที่ช่วยเติมเต็ม หรือสร้างทรัพยากรเพิ่มเติมขึ้นมา
เหล่านี้คือ ‘เป้าหมาย’ หรือ ‘Quest’ ในเกม RPG ที่ช่วยให้เลเวลคุณเพิ่มขึ้น
เวลา :
- ใช้ปฏิทิน
- ใช้แอพในการบล็อคเว็บไซต์หรือสิ่งรบกวนต่าง ๆ ในขณะที่คุณทำงาน
- ใช้เวลาไปกับการเตรียมมื้ออาหาร และทำในปริมาณเยอะ
พลังงาน :
- ใช้เวลานอนคืนละ 8 ชั่วโมง
- ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง
- ทานอาหารเพื่อสุขภาพ
ความจดจ่อ :
- ทำสมาธิอย่างน้อยวันละ 10 นาที
- จำกัดการใช้งานโซเชียลมีเดียบนโทรศัพท์มือถือ
- ใช้เครื่องมือจัดการเวลา เช่น timeboxing หรือ pomodoro ในขณะเวลาทำงาน
ซาร่าคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวไม่ได้มีทรัพยากรที่ได้มาฟรี ๆ มากนัก แต่เธอสามารถฝึกฝนนิสัย และสร้างระบบบางอย่างที่ทำให้เธอมีสถานะที่ดีขึ้นได้
นี่คือ การสร้างประสิทธิภาพระดับเริ่มต้น และ ต้องการความมีวินัย
ฉันจะเป็นคนแรกที่บอกคุณเลยว่า มันไม่ง่าย
บางครั้งฉันก็อยากจะไม่ไปยิมและเล่นวิดีโอเกมแทน บางครั้งก็อยากนอนดึกดูหนังบนเน็ตฟลิกซ์ แทนที่จะนอนและหลับเร็วๆ
แล้วอะไรที่ทำให้ชาร์ลมีวินัย และให้เขาจดจ่ออยู่กับเป้าหมายน่ะหรอ
เพราะเขาได้ตระหนักว่าพฤติกรรมและนิสัยต่าง ๆ พวกนี้มันทำลายอนาคตของเขาและครอบครัว
ขั้นแรกคือการเพิ่มทรัพยากรที่มีอยู่ให้ได้มากที่สุด
คุณจะทำอะไรกับ เวลา พลังงาน และความสนใจ เหล่านี้ ?
คุณต้องเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นทรัพยากรตัวที่ 4 นั่นก็คือ เงิน
ขั้นที่ 2 : ใช้ทรัพยากรต่าง ๆ และ งาน ในการสร้างเงิน
เมื่อคุณวางทรัพยากรของคุณ (เวลา พลังงาน ความสนใจ) ลงบนเครื่องจักร (งานหรือ ธุรกิจ) และผลลัพท์ที่ออกมาคือ เงิน
งานแต่ละงานจ่ายเงินไม่เหมือนกัน
คนสองคนใช้ความพยายามเท่ากันแต่ได้รับเงินต่างกัน
ที่ปรึกษาคนหนึ่งสามารถคิดค่าบริการถึง 100$ ต่อชั่วโมง ในขณะที่บางคนอาจคิดค่าบริการ 10,000$ ต่อชั่วโมง
การได้รับค่าจ้างเยอะไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดได้ในชั่วข้ามคืน
นี่คือกลยุทธ์บางส่วนที่อยู่ในหัวฉัน
- ลงทุนในการศึกษา เช่น หลักสูตร MBA (ฉันไม่ได้บอกว่าวิธีนี้ดีที่สุด)
- ต่อรองเงินในงานที่คุณทำอยู่ให้ได้มากขึ้น
- กระโดดไปทำอีกบริษัทที่จ่ายให้คุณมากกว่า
- ลงทุนเวลาในการพัฒนาทักษะที่จำเป็น
- ต่อยอดเล็ก ๆ น้อย ๆ (เช่น ค่าคอมมิชชั่น, หุ้นในบริษัท, และอื่นๆ)
- อื่นๆ
อีกครั้งนะ ชีวิตมันไม่แฟร์
ชาร์ลทำงานกับโปรแกรมเมอร์ที่มาจากประเทศโรมาเนีย และจ่ายเขาในอัตราประมาณชั่วโมงละ 25$ โปรแกรมเมอร์คนนั้นเขาเป็นคนที่ฉลาดสุด ๆ
แต่ช่วยไม่ได้ ลองคิดดูว่าถ้าเขาเกิดและโตในอเมริกา เขาสามารถทำเงินได้ถึง 200k$ ต่อปี แถมได้มี หุ้น และ ออฟชั่น ในบริษัท FAANG
ขั้นตอนที่ 3 : ใช้เงินของคุณให้ดีขึ้น
ชาร์ลเกลียดเวลาที่คนพูดว่า เงินซื้อความสุขไม่ได้ หรือ เงินนั้นไม่สำคัญ
มันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคน ๆ นั้นไม่ปลอดภัยกับสถานการณ์ที่เขาอยู่
เงินไม่ได้ ไม่ดี และก็ไม่ใช่ปีศาจ แต่ว่ามันคือทรัพยากร
น่าเสียดายที่ไม่มีใครสอนวิธีบริหารเงินให้เรา ซึ่งมันไม่ได้ง่ายเหมือนการเรียงตัวเลขในสเปรดชีต
เงิน มีความหมายได้หลายอย่าง
- เงิน อาจหมายถึง โอกาส
- เงิน อาจหมายถึง การโอ้อวด
- เงิน อาจเป็นวิธีหนึ่งที่ปกป้องอนาคตของคุณ
การต้องรับผิดชอบในเงินนั้นเผาผลาญความเป็นอยู่ของคุณให้ต่ำลง
Being responsible with money boils down to living below your means.
ไม่สำคัญว่าคุณทำเงินได้เท่าไหร่ หากคุณไม่สามารถควบคุมรายจ่ายได้ มันเป็นเรื่องน่าเบื่อเมื่อได้ยินเกี่ยวกับพวก แร็ปเปอร์ นักกีฬา หรือทนายความ ถังแตก พวกคนเหล่านี้อาจมีรายได้สูง แต่มันไม่สำคัญเลยถ้ารายจ่ายของพวกเขามีมากกว่า
ความสามารถในการเก็บเงินนี่ล่ะที่แสดงถึงสิ่งที่ฉันเรียกว่า “ความแตกต่าง”
มันคือ รายรับ – รายจ่าย
ลองดูตัวอย่างจากชีวิตของชาร์ล
ชาร์ล ในปี 2008
- รายรับต่อเดือนหลังหักภาษี : 2,400$
- รายจ่ายต่อเดือน : 1,800$
- ความแตกต่าง : 600$ ต่อเดือน
ชาร์ลมี 600$ ต่อเดือนตอนอายุ 22
เขาไม่สามารถใช้ 600$ นี้ไปกับ การเที่ยวผับ, เสื้อผ้าใหม่ ๆ , ไอโฟนใหม่, วิดีโอเกม หรือห้องเช่าดีๆ
กลับกัน เขาเลือกที่จะลงทุน 600$ นี้ไปกับการตลาดแอฟฟิลิเอต
มันเป็นเรื่องยากสำหรับคนส่วนมากเพราะพวกเขาไม่สามารถคิดไปถึงระยะยาวได้ง่ายๆ ทำไมต้องลงทุนเพื่อเกษียณหลัง 40 ปีต่อจากนี้ล่ะ ในเมื่อคุณสามารถใช้แค่ 100$ ไปกับดินเนอร์หรู ๆ ได้แล้ว
คนที่สามารถคิดในระยะยาวได้นั้นแหละที่ชนะ
คนส่วนใหญ่ไม่มี leverage พวกเขาแลกเปลี่ยน เวลา พลังงาน และความสนใจ เพื่อเงิน แล้วพวกเขาก็ใช้เงินนั้น
และส่วนใหญ่ก็จบลงในวงจรนี้ตลอดไปและไม่สามารถเกษียณอย่างมีศักดิ์ศรี
ขั้นตอนที่ 4 : ใช้เงินของลงทุนในการสร้าง Leverage ให้มากขึ้น
Leverage เป็นพลังอำนาจ – เป็นหนทางที่จะทำให้สำเร็จมากขึ้นโดยใช้ความพยายามที่น้อยลง
ลองคิดดูว่าต้องใช้ความพยายามมากขนาดไหนในการเคลื่อนย้ายกล่องหนักร้อยกว่าโล แต่ถ้าคุณสามารถวางกล่องนั้นลงบนแท่นที่มีล้อลาก คุณก็สามารถเคลื่อนย้ายกล่องได้โดยใช้แรงน้อยลง
แท่นล้อลากนี้คือ Leverage
คุณสามารถใช้เงินในการสร้าง Leverage
3 วิธีหลัก คือ การลงทุน , ระบบ , และคน
การลงทุน
คุณรู้ไหมว่าการลงทุนคืออะไร
การลงทุนมีหลากหลาย ตั้งแต่ ตลาดหุ้น, อสังหาริมทรัพย์, สกุลเงินดิจิทัล, พันธบัตร, ทองคำ, ธุรกิจส่วนตัว
(เงิน) x (เวลา) x (วิธีการลงทุน) x (ความเสี่ยง) = เงินที่มากขึ้น
เมื่อคุณได้ลงทุน อย่าลืมคิดถึงทรัพยากรที่คุณได้ทุ่มลงไป
ชาร์ลชอบที่จะลงทุนใน กองทุนดัชนี Vanguard
เขาเคยใช้เวลาเป็นชั่วโมงเมื่อหลายปีก่อนในการสร้างระบบเพื่อลงทุนเงินให้กับตัวเอง และตรวจสอบประสิทธิภาพมันเดือนละครั้งตอนที่กำลังคำนวณความมั่งคั่งสุทธิของตัวเอง
ถ้าใครสงสัย เขาลงทุนในหุ้น 100%
70% ในประเทศ usa ส่วนอีก 30% เป็นหุ้นต่างประเทศ
Vanguard Admiral funds with the lowest expense ratios
ชาร์ลไม่ได้คิดถึงมันเลย ไม่ได้เสียเวลาไปกับมัน
มันทำให้ทรัพยากรอื่น ๆ ของเขาเป็นอิสระในการโฟกัสกับจุดแข็งต่าง ๆ และธุรกิจส่วนตัว
อย่างไรก็ตาม ชาร์ลเห็นหลาย ๆ คนลงทุนในสิ่งที่พวกเขาไม่ค่อยมีความรู้ และมันคือ หายนะ
เหตุผลอย่างหนึ่งคือ เพื่อนซี้ของเขาได้ลงทุนไปกับไนท์คลับ ฉันเดาว่า เขาแค่ต้องการสถานะ ที่ว่า เค้าเป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งของไนท์คลับนั้น
เป็นการลงทุนทางการเงินที่น่ากลัวทีเดียว ไม่ใช่แค่นั้น เขาเสียทรัพยากรไปในการทำงานในไนท์คลับ และต้องใช้เวลาห่างจากธุรกิจหลักของเขาเอง!
ระบบและเทคโนโลยี :
เรากำลังมีชีวิตอยู่ในยุคของเทคโนโลยี คุณสามารถลงทุนทางการเงินไปกับเครื่องจักร / เทคโนโลยี ที่ปลดปล่อยทรัพยากรให้คุณเป็นอิสระได้
ตัวอย่างเช่น :
– ผู้คนเคยซักผ้าด้วยมือ แต่ตอนนี้คุณสามารถใช้เครื่องซักและเครื่องปั่นให้ผ้าแห้งได้
– ถ้าคุณมีธุรกิจ คุณสามารถลงทุนกับเทคโนโลยีหลายๆอย่างเพื่อการทำให้มันเป็นอัตโนมัติ ลองคิดดูว่าร้านอาหารจะประหยัดแค่ไหนด้วยการใช้ระบบการจองอย่าง OpenTable
– รถไร้คนขับ ฉันไม่ได้เป็นเจ้าของเทสลา ไม่แน่ใจว่าเทคโนโลยี Autopilot ไปถึงไหนแล้วในวันวันนี้ แต่ฉันจินตนาการว่าในเร็วๆนี้ รถยนต์ไร้คนขับจะช่วยประหยัดทรัพยาการได้อย่างมาก
คุณสามารถอยู่เบาะหลังงีบสักพักหนึ่ง หรือตอบอีเมล์ในระหว่างที่รถของคุณกำลังพาคุณไปที่ไหนสักแห่ง
ทรัพยากรของคนอื่น ๆ :
คุณมีทรัพยากรไร้ขีดจำกัด
ข่าวดีคือ คุณสามารถใช้เงินในการหยิบยืมทรัพยากรของคนอื่นได้
ตัวอย่างจากในชีวิตฉัน
- การทำความสะอาดบ้าน : แม่บ้านของฉันเข้ามาทุกวันอาทิตย์ เป็นเวลา 4 ชั่วโมง ฉันลงทุน 100$ ทำให้ได้เวลาว่างกลับมา 4 ชั่วโมงจากการทำความสะอาด และทำให้เราใช้เวลานี้กับ กิจกรรมที่ leverage สูง เช่น วางแผนหรือแค่หยุดพัก
- พี่เลี้ยงเด็กในอนาคต : ชาร์ลอยากจะมีลูกสักวันหนึ่ง และเขาเป็นกังวลมากว่าจะต้องใช้ความพยายามในการเลี้ยงดูพวกเขาให้เติบโตมากแค่ไหน พวกเขาได้วางแผน และคิดกันไว้แล้วว่าจะจ้างคนต่างๆ ที่สามารถมาทำหน้าที่รับผิดชอบช่วยดูแลได้
- พนักงาน : พนักงานนั้นมี leverage มากทีเดียว ลองนึกภาพว่าคุณจ้างคนด้วยเงิน 40,000$ ต่อปี ทำให้ตอนนี้คุณมีเวลา พลังงาน ความสนใจ และความรู้เฉพาะทางของพวกเขาเหล่านั้น
ขั้นตอนที่ 5 : ใช้ leverage ของคุณในการสร้างทรัพยากรที่มากขึ้น
ชาร์ลเคยทำงานแบบเข้า 9 โมงเลิก 5 โมงเย็น และใช้เวลาแลกเงิน ทรัพยากรเดียวที่เขามีเป็นสิ่งเดียวที่เขาสร้างเพื่อตัวเอง
ภาพหลังจากนั้น คือชาร์ลในวันนี้ เขามีทรัพยากรมากกว่าตัวเองเมื่อสิบปีก่อน
นั่นเป็นเพราะว่าเขาได้ Leverage เงินในการสร้างระบบแล้วหยิบยืมทรัพยากรคนอื่นมาใช้
ตอนนี้ลองจินตนาการดูว่าถ้าเป็นเศรษฐีพันล้าน มันจะเป็นยังไง
คิดดูว่ากำลังมีเกิดอะไรขึ้นอยู่ขณะที่ เจฟ เบซอส กำลังแฮงเอ้าท์กับ Mamacita
เขากำลัง Leverage ทรัพยากรและความรู้ของผู้คนกว่า 750,000 คน
เขามีเหล่าเนิร์ดหลายพันคนทำงานอยู่ที่ซีแอตเทิล พนักงาน UPS หลายพันคนกำลังส่งพัสดุให้เขา และก็มีคนเหมือนๆกับพวกเราที่กำลังทำให้สินทรัพย์ของเขามีมูลค่าเพิ่มโดยการรีวิวสินค้าบน Amazon
ยังมีธุรกิจอีกมากมายที่คุณสามารถซื้อขายเวลาเพื่อเงิน เช่น การเป็นที่ปรึกษา หรือ ทนายความ คุณสามารถรวยได้จากการทำงานเหล่านี้ แน่นอน
แต่ ทรัพยากรของคุณมันมีจำกัด คุณต้องนอนหลับ
มันไม่มีการจำกัดของผลผลิตที่เกิดจากเครื่องจักร เทคโนโลยี และระบบ
และ มันก็อาจจะข้อด้อยเสมอล่ะ เพราะคุณอาจโดนรถชน หรือ เป็นไวรัสโคโรน่าเข้า
ขั้นตอนสุดท้ายของวงล้อ คือคุณต้องมีทรัพยากรเพิ่มในการเปรียบเทียบกับวงก่อนหน้า
ตอนนี้คุณสามารถทำงานไปอีกระดับ
- คุณมีเวลาวางแผน วางกลยุทธ์ และคิด
- คุณแข็งแรงขึ้น มีความเป็นมนุษย์มนาขึ้น เพราะคุณมีสุขภาพดีและนอนหลับได้มากขึ้น
- คุณมีเวลาสำหรับเรื่องสำคัญอื่น ๆ ในชีวิต เช่น ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว และได้ใช้เวลากับงานอดิเรก
นี่คือแต่ละขั้นในการ leverage
แต่ละเลเวลที่เพิ่มขึ้นมาเป็นการปลดล็อกพลังมากขึ้น
เลเวล 1 แม่บ้านเป็นคนที่เข้ามาทำความสะอาดเดือนละครั้ง
เลเวล 5 แม่บ้านคือคนที่เข้ามาทำความสะอาดทุก ๆ สัปดาห์
เลเวล 10 แม่บ้านคือกลุ่มของแม่บ้านที่พักอยู่ที่บ้านของคุณ
เลเวล 1 โค้ดเดอร์ ได้จ้างมาจากคนบน Fiver ให้ทำงาน
เลเวล 5 โค้ดเดอร์ ได้จ้างมาจากคนที่เยี่ยมที่สุดในทีมของคุณ
เลเวล 10 โค้ดเดอร์ ได้จ้างมาจากคนที่มีความสามารถระดับท็อปที่เค้ามีทีมของตัวเองในการเป็นเจ้าของโครงการ
คนรวยยิ่งรวย
วงล้อจะหยุดหมุนเมื่อไหร่
มาพูดถึงความผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้น
คุณจะแพ้ถ้าคุณเล่นอยู่ในเกมที่มีสถานะ
สถานะ คือ ที่ ๆ คุณป่าวประกาศให้โลกรู้ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่และทำได้ดีแค่ไหน คุณรู้ใช่ไหมครับว่าผมหมายถึงอะไร ผู้ชายที่ชอบโชว์รถหรือโชว์ว่ากำลังเที่ยวหรู ๆ อยู่
ฟังนะ มันโอเคครับตราบใดที่คุณมีเงินจ่าย แต่โดยส่วนใหญ่แล้วผู้คนที่ชื่นชอบการมีสถานะ อย่างการมีความมั่งคั่งสุทธิ 100k$ เค้ามักจะมีรถมูลค่า 70k$
คุณสามารถลงทุนใน 70k$ นั้นในการสร้าง leverage ให้มากขึ้น พวกเขาสามารถซื้อรถปีถัดจากนั้นก็ได้เมื่อพวกเขาอยู่ในสถานภาพที่ดีขึ้น
การเล่นกับสถานะนั้นเป็นการรบกวนการสร้างความมั่งคั่ง
อย่าพยายามที่จะดูมั่งคั่ง….จงมั่งคั่ง
กับดักต่อไปที่ต้องระวังคือ การลงทุนมากเกินไป และมันไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า
คุณให้เงิน 65$ ต่อปีในการจ้างผู้ช่วย พวกเขาเซฟเวลาและพลังของคุณได้เป็นจำนวนมาก
แต่คุณกลับไม่ได้ทำงานอะไรที่มีประสิทธิภาพขึ้นด้วยเวลาและพลังงานที่คุณประหยัดเหล่านี้เลย
มันเป็นการสิ้นเปลืองเงิน หรือเปล่า
งานหรือธุรกิจของคุณให้ผลตอบแทนไม่ดีพอ
คุณอุทิศ 14 ชั่วโมงต่อวันในงานของคุณ และให้เลือด เหงื่อ น้ำตาไปกับมัน แต่คุณก็ยังติดกับเงินเดือน 50k$ มาเป็นเวลาหลายปี
หรือคุณได้อุทิศเหล่าทรัพยากรของคุณไปกับธุรกิจ แต่มันกินเลือดคุณปีแล้วปีเล่า
วงล้อจะไม่ได้ผลถ้าหากทรัพยากรต่าง ๆ และงานของคุณไม่สามารถให้ผลิตผลที่เป็นตัวเงินออกมาได้มากพอ
ทำความเข้าใจและใช้งานวงล้อแห่งประสิทธิภาพนี้ซะ
มันไม่ได้ง่ายในการทำความเข้าใจคอนเซ็ปต์นี้ในเริ่มแรก
ฉันเติบโตมากับครอบครัวที่ประหยัด
จ้างแม่บ้านหรอ? ฉันได้ยินคนในครอบครัวถามผมว่าทำไมต้องเอาเงินไปละลาย ทำไมคู่หมั้นฉันไม่ทำความสะอาดบ้านทุกวัน
ถ้าคุณเป็นผู้ประกอบการ คุณต้องทำคนเดียว มันเป็นการยากที่จะเชื่อใจพนักงานกับธุรกิจของคุณ แต่มันมีข้อจำกัดนี่ ว่าคุณจะทำได้สักเท่าไหร่ถ้าหากคุณทำคนเดียว
บางครั้งฉันมองผู้คุณอย่าง the rock หรือ อีลอน มัสก์ ฉันได้แต่สงสัยว่าพวกเขาทำได้มากขนาดนี้ได้อย่างไร
แล้วฉันก็ย้อนกลับไปดูเฟรมเวิร์คนี้และตระหนักว่า
พวกเขาต้องมี leverage ขนาดไหนที่เราไม่ได้เห็น…
.
.
.
ขอบคุณบทความดีๆจาก Chalesngo