มีพอดแคสตอนนึงที่มีคนวิเคราะห์แนวคิด ของ Eckhart Tolle ที่ว่า “ตัวตนที่แท้จริงของเรา” ไม่ใช่ความคิดของเรา
เราก็เลยมีคำถามว่า แล้วตัวตนที่แท้จริงของเรา คืออะไร?
ทอเลอบอกว่าตัวตนที่แท้จริงของเราไม่ได้จำกัดอยู่แค่ความคิดหรือกระแสความคิดที่ไหลผ่านจิตใจ
เรามักจะหลงคิดว่าตัวเราคือความคิดของเรา
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราคือผู้สังเกตความคิดเหล่านั้น
ลองนึกถึงเวลานั่งสมาธิ จะเห็นว่ามีความคิดมากมายผุดขึ้นมาและจางหายไป
แต่ “ตัวเรา” ที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ยังคงอยู่เป็นอิสระจากความคิดเหล่านั้น
และเปรียบเทียบกับการที่เรากำลังนั่งมองท้องฟ้า เราจะเห็นว่า มีเมฆลอยผ่านไปมา บางครั้งฟ้าโปร่ง บางครั้งก็มีเมฆมาก เมฆพวกนี้เปรียบเหมือนความคิดของเรา ที่ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไป
แต่ท้องฟ้า (ตัวเรา) ยังคงอยู่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะมีเมฆมากหรือน้อย ท้องฟ้าก็ยังเป็นท้องฟ้า
เช่นเดียวกับเวลาที่เรามีความคิดไม่ดี เครียด กังวล แทนที่จะคิดว่า “ฉันเป็นคนไม่ดี” หรือ “ฉันเป็นคนขี้กังวล” เราสามารถมองว่า “อ๋อ นี่เป็นแค่ความคิดที่ผ่านเข้ามา” เหมือนเมฆที่ลอยผ่านท้องฟ้า
การเข้าใจว่าตัวเราไม่ใช่ความคิดของเรา จะช่วยให้เราไม่ทุกข์ไปกับความคิดมากเกินไป
และนี่เป็นแนวคิดที่ลึกซึ้งที่อยู่ในหลายๆ ปรัชญา ธรรมะ และแนวทางการปฏิบัติให้เรามี สติ
ทอเลอ เป็นนักปรัชญา นักเขียน และอาจารย์ด้านจิตวิญญาณที่มีชื่อเสียงระดับโลก หลายคนคงเคยเห็นหนังสือ “The Power of Now” (พลังแห่งปัจจุบันขณะ) ผ่านตามาบ้างเพราะเคยเป็นหนังสือติดอันดับขายดีในบ้านเรา
ตอนหนุ่มทอเลอเคยประสบกับ ภาวะซึมเศร้ารุนแรง และรู้สึกต้องทนทุกข์ทรมานจากเสียงความคิดในหัวของตัวเอง มีวันหนึ่งขณะที่เขาคิดถึงการจบชีวิต เขาเกิดมีประสบการณ์ spiritual awakening คือการที่ได้ตระหนักว่า “ตัวตนที่แท้จริงของเขาไม่ใช่ความคิดของเขา” และสัมผัสถึง สภาวะของความสงบและเป็นอิสระจากอัตตา หลังจากนั้นทอเลอก็ใช้เวลาหลายปีในการทำความเข้าใจกับสภาวะนี้ ก่อนจะเริ่มแพร่แนวคิดและเขียนเป็นหนังสือขึ้นมา
แนวคิดที่สำคัญ
- คุณไม่ใช่ความคิดของคุณ (You Are Not Your Thoughts)
- พลังของปัจจุบันขณะ (The Power of Now)
- อัตตา (Ego) คือตัวการของความทุกข์
- Pain-Body หรือ ร่างแห่งความเจ็บปวด
hostile entities
ในแนวคิดของเอคาร์ต ทอเลอ มีคำน่าสนใจอยู่คำนึง เขาเรียกมันว่า “hostile entities” หรือ “สิ่งมีชีวิตที่เป็นปฏิปักษ์” มันคือรูปแบบความคิดเชิงลบที่ถูกเสริมพลังโดยอัตตา (ego) ความคิดเหล่านี้เจริญเติบโตจากความกลัว ความสงสัยในตนเอง และความคิดเชิงลบอื่น ๆ ที่ทำให้เราหลงเชื่อว่าพวกมันเป็นความจริง ทั้งที่จริง ๆ แล้วมันเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา อัตตาก่อตัวขึ้นโดยการเลี้ยงดูความคิดเหล่านี้ ทำให้เราติดอยู่ในวงจรของความทุกข์ทางอารมณ์
ทอเลออธิบายว่าอัตตาคือการยืนยันตัวตนกับความคิดและรูปแบบทางจิตที่ไม่หยุดนิ่ง เมื่อเรายืนยันตัวตนกับความคิดเหล่านี้ เราจะถูกควบคุมโดยพวกมัน และไม่สามารถรับรู้ถึงความเป็นจริงที่ลึกซึ้งกว่านั้นได้ การตระหนักรู้ว่าเราไม่ใช่ความคิดของเราเองเป็นก้าวแรกสู่ความเป็นอิสระ เมื่อเราเริ่มสังเกตความคิดของเรา ระดับของสติจะถูกกระตุ้น ทำให้เราสามารถแยกตัวออกจากความคิดเชิงลบและอัตตาได้
“ตัวตนที่แท้จริงของเรา” ไม่ใช่ความคิดของเรา แต่เป็น ความตระหนักรู้ที่อยู่เบื้องหลังความคิด
ความตระหนักรู้ว่าเราคืออะไร
เราคือ ผู้สังเกต (The Observer)
แทนที่จะยืนยันตัวตนไปกับกระแสความคิดที่ไหลผ่านจิตใจ ให้เปลี่ยนเป็น เราคือ “ผู้สังเกต” หรือใช้ “ความตระหนักรู้” รับรู้ความคิดเหล่านั้น
- ลองสังเกตความคิดของคุณตอนนี้ว่า คุณสามารถ “มอง” มันได้ใช่ไหม?
- ถ้าคุณสามารถมองเห็นมันได้ แสดงว่าคุณต้องเป็นสิ่งที่อยู่ เหนือกว่า ความคิดนั้น
เราคือ “การมีอยู่” (Presence)
ทอเลอเรียกสิ่งนี้ว่า “การมีอยู่” (Presence) หรือ “Being”
- ไม่ใช่สิ่งที่สามารถคิดวิเคราะห์ได้ แต่เป็นสิ่งที่สามารถสัมผัสได้
- เมื่อคุณอยู่ในสภาวะเงียบสงบ ไม่ถูกครอบงำด้วยความคิด นั่นคือคุณสัมผัสตัวตนที่แท้จริงของคุณ
ตัวตนที่แท้จริง ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยอดีตหรืออนาคต
อัตตา (Ego) มักเชื่อมโยงกับอดีตและอนาคต มันชอบบอกว่า:
- “ฉันคือสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับฉันในอดีต”
- “ฉันต้องไปให้ถึงจุดนั้นในอนาคต”
แต่ตัวตนที่แท้จริงของเราอยู่ที่ ปัจจุบันขณะ เท่านั้น
เราคือ “ความเงียบ” ที่อยู่ระหว่างความคิด
ทอเลอชี้ให้เห็นว่า “ความเงียบ” หรือ “ช่องว่างระหว่างความคิด” คือจุดที่เราสามารถสัมผัสตัวตนของเราได้
- ลองฟังเสียงในหัวของคุณ แล้วมองหาช่องว่างระหว่างความคิด
- ในช่องว่างนั้น ไม่มีอัตตา ไม่มีความกังวล นั่นคือตัวตนที่แท้จริงของคุณ
เราคือ “จิตสำนึกบริสุทธิ์” (Pure Consciousness)
สุดท้ายทอเลอบอกว่าตัวตนที่แท้จริงของเราคือ จิตสำนึกบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกับทุกสรรพสิ่ง
เมื่อคุณอยู่กับปัจจุบันขณะโดยสมบูรณ์ คุณจะรู้สึกเป็นอิสระและเชื่อมโยงกับทุกสิ่งทุกอย่าง
ลองเงียบและอยู่กับปัจจุบันขณะ แล้วดู ว่าคุณคืออะไร…
การฝึกฝนการมีสติในปัจจุบันขณะ และการสังเกตความคิดและอารมณ์ของเราโดยไม่ตัดสินเป็นวิธีที่ทอเลอแนะนำเพื่อปลดปล่อยตนเองจาก “hostile entities” และ “ego” การทำเช่นนี้ทำให้เราสามารถเข้าถึงสภาวะของความสงบภายในและความเป็นอยู่ที่แท้จริงของเราได้
นอกจากนี้เขายังพูดถึงแนวคิดของ “pain-body” ซึ่งเป็นการสะสมของความเจ็บปวดทางอารมณ์ในอดีต “pain-body” นี้สามารถถูกกระตุ้นโดยสถานการณ์ต่าง ๆ ทำให้เราตอบสนองในทางที่ไม่สอดคล้องกับตัวตนที่แท้จริงของเรา การตระหนักรู้และสังเกต “pain-body” ของเราเป็นสิ่งสำคัญในการปลดปล่อยตนเองจากวงจรของความทุกข์
Pain-Body
Pain-Body คืออะไร?
Pain-Body คือ พลังงานด้านลบที่สะสมอยู่ในตัวเรา ซึ่งเกิดจากประสบการณ์ในอดีตที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด (ทั้งทางอารมณ์และจิตใจ)
- เป็นเหมือน “ร่างพลังงาน” ของ อารมณ์เชิงลบ ที่สะสมอยู่ในตัวเรา
- ถูกสร้างจาก ความเจ็บปวดในอดีต เช่น ความผิดหวัง, การถูกทอดทิ้ง, การถูกทำร้ายจิตใจ ฯลฯ
- ไม่ได้เป็นเพียง “ความทรงจำ” แต่เป็น พลังงานที่ยังมีชีวิต และสามารถควบคุมพฤติกรรมของเราได้
- ทอเลอบอกว่า Pain-Body คือสิ่งที่ “กิน” ความทุกข์ของเราเป็นอาหาร
- มันต้องการความเจ็บปวด เพื่อดำรงอยู่
- มันมักทำให้เราสร้าง สถานการณ์ที่ทำให้ตัวเองเจ็บปวดซ้ำ ๆ
- มันกระตุ้นให้เราตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยอารมณ์รุนแรง
Pain-Body ทำงานอย่างไร?
Pain-Body จะถูกกระตุ้นโดยสถานการณ์ที่คล้ายกับ บาดแผลในอดีต
ตัวอย่างเช่น:
- สมมติว่าในวัยเด็กคุณถูกทอดทิ้งโดยพ่อแม่
- เมื่อโตขึ้น หากคู่รักของคุณละเลยหรือไม่ตอบข้อความ Pain-Body อาจถูกกระตุ้น
- มันอาจทำให้คุณรู้สึก โกรธ, สิ้นหวัง, หรือวิตกกังวลอย่างรุนแรง
- คุณอาจ ตอบโต้ด้วยพฤติกรรมทำลายตัวเอง เช่น สร้างดราม่า, ประชดประชัน, หรือเลิกกับคู่ของคุณโดยไม่จำเป็น
Pain-Body ทำให้คุณติดอยู่ในวงจรของความทุกข์
- มัน กระตุ้นให้คุณสร้างดราม่า เพื่อให้ตัวเองเจ็บปวดมากขึ้น
- มันทำให้คุณ รู้สึกว่าอารมณ์เชิงลบนั้นคือ “ตัวตน” ของคุณ
Pain-Body มี 2 ประเภท
- Pain-Body แบบแอคทีฟ (Active Pain-Body)
- เป็น Pain-Body ที่ถูกกระตุ้นและกำลังควบคุมคุณ
- คุณอาจรู้สึก โกรธ, ซึมเศร้า, หดหู่ หรือหวาดกลัวอย่างรุนแรง
- คุณอาจพูดหรือทำอะไรที่รุนแรงโดยไม่รู้ตัว
- Pain-Body แบบแฝง (Dormant Pain-Body)
- เป็น Pain-Body ที่อยู่เฉย ๆ แต่ยังไม่หายไป
- มันอาจถูกกระตุ้นเมื่อคุณเจอสถานการณ์ที่คล้ายกับอดีต
เราจะปลดปล่อย Pain-Body ได้อย่างไร?
1. ตระหนักรู้ถึงมัน (Recognize It)
- สิ่งแรกที่ต้องทำคือ “เห็นมัน”
- ทุกครั้งที่คุณมีอารมณ์รุนแรงหรือรู้สึกทุกข์ ให้สังเกตว่ามันเกิดขึ้นจาก Pain-Body หรือไม่
- แค่การสังเกตว่า “อ้อ นี่คือ Pain-Body นะ” ก็สามารถลดอำนาจของมันได้
2. อย่าระบุตัวตนกับมัน (Disidentify from It)
- Pain-Body ไม่ใช่ตัวตนของคุณ
- มันเป็นแค่ พลังงานทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
- หากคุณสามารถเฝ้าดูมันโดยไม่อินไปกับมัน มันจะค่อย ๆ สลายไปเอง
3. อยู่กับปัจจุบัน (Stay Present)
- Pain-Body เจริญเติบโตจาก อดีตและอนาคต
- ถ้าคุณอยู่กับ ปัจจุบันขณะ มันจะไม่มีอำนาจเหนือคุณ
4. อย่าต่อต้านมัน (Don’t Fight It)
- ยิ่งคุณพยายาม “กดข่ม” Pain-Body มันจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
- สิ่งที่ดีที่สุดคือ ยอมรับว่ามันมีอยู่ แต่ไม่ปล่อยให้มันควบคุมคุณ
Pain-Body คือพลังงานของอารมณ์เจ็บปวดที่สะสมจากอดีต
มันต้องการความทุกข์เป็นอาหาร และทำให้เราติดอยู่ในวงจรเดิม ๆ
การตระหนักรู้และไม่ระบุตัวตนกับมันคือกุญแจสำคัญในการปลดปล่อยมัน
อยู่กับปัจจุบัน และอย่าปล่อยให้ Pain-Body ควบคุมคุณ
ส่งท้าย
แม้ว่าแนวคิดของ Eckhart Tolle จะได้รับการยอมรับและช่วยให้ผู้คนจำนวนมากพบกับ ความสงบภายใน แต่ก็มีข้อวิจารณ์จากหลายแง่มุมอยู่ มาดูว่าทำไมบางคนถึงวิจารณ์แนวคิดของเขา
1. พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์
ทอเลอมักพูดถึง “การตื่นรู้” หรือ “การปลดปล่อยจากอัตตา” โดยไม่มีการอ้างอิงถึงงานวิจัยทางจิตวิทยาหรือประสาทวิทยา นักจิตบางคนจึงมองว่าแนวคิดของเขา อาจใช้ไม่ได้ผลสำหรับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะซึมเศร้าหรือปัญหาสุขภาพจิต และยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชัดเจนที่พิสูจน์ว่า การตระหนักรู้ในปัจจุบันขณะ (Presence) สามารถแก้ปัญหาทางจิตใจได้ทั้งหมด
ข้อโต้แย้ง: แม้แนวคิดของทอเลออาจไม่มีรากฐานทางวิทยาศาสตร์โดยตรง แต่แนวคิดเกี่ยวกับ “การมีสติ” (Mindfulness) ซึ่งคล้ายคลึงกับคำสอนของเขา ก็ได้รับการสนับสนุนจากงานวิจัยทางจิตวิทยาหลายชิ้น
2. สิ่งที่ดูเหมือนเป็นนามธรรมและขาดความชัดเจน
ทอเลอมักพูดถึง “Being” (การมีอยู่) หรือ “ความตระหนักรู้” ในแบบที่บางคนมองว่าเข้าใจยาก
- คำว่า “ปล่อยวางอัตตา” หรือ “เป็นหนึ่งเดียวกับปัจจุบันขณะ” อาจดูเป็น แนวคิดเชิงนามธรรม และยากที่จะนำไปใช้จริง
- คำสอนของเขามีลักษณะเหมือน ปรัชญาตะวันออกที่เน้นประสบการณ์ส่วนตัว ทำให้บางคนรู้สึกว่าเป็นคำพูดที่คลุมเครือ
ข้อโต้แย้ง: ผู้ที่เข้าใจคำสอนของเขามองว่า “ความเงียบ” และ “การตระหนักรู้” ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ทั้งหมด แต่ต้อง สัมผัสด้วยตัวเอง
3. แนวคิดของเขาอาจไม่เหมาะกับทุกสถานการณ์
ทอเลอมักสอนให้ “อยู่กับปัจจุบัน” และ “ไม่ต่อต้านสิ่งที่เกิดขึ้น”
- แต่ในบางสถานการณ์ เช่น ความอยุติธรรมทางสังคม หรือ การถูกเอาเปรียบ แนวคิดนี้อาจนำไปสู่การ ไม่ลงมือเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ผิด
- บางคนมองว่าแนวคิดนี้อาจทำให้ คนยอมรับความทุกข์ โดยไม่พยายามเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง
ข้อโต้แย้ง: เขาไม่ได้สอนให้ “ยอมแพ้กับทุกสิ่ง” แต่เขาสอนว่า “คุณสามารถลงมือทำได้ แต่ต้องทำจากสภาวะแห่งสติและความสงบ ไม่ใช่จากความกลัวหรืออัตตา“
4. แนวคิดมีความคล้ายคลึงกับศาสนา แต่ไม่มีโครงสร้างชัดเจน
คำสอนของทอเลอ คล้ายกับ พุทธศาสนา, เต๋า, และศาสนาฮินดู โดยเฉพาะเรื่อง “การปล่อยวาง” และ “การมีสติ” แต่แนวคิดของเขา ไม่มีแนวทางปฏิบัติที่เป็นระบบเหมือนศาสนา ซึ่งบางคนมองว่าเป็นแค่ “การนำคำสอนทางศาสนาเก่ามาพูดในรูปแบบใหม่”
ข้อโต้แย้ง:
- แต่เขาก็ทำให้ แนวคิดเชิงจิตวิญญาณเข้าใจง่ายขึ้นสำหรับคนยุคใหม่
สรุปว่าแนวคิดของ Eckhart Tolle มีประโยชน์มากสำหรับการฝึกสติและลดความทุกข์ แต่ ไม่ใช่สูตรสำเร็จสำหรับทุกคน หากนำไปใช้ ควรพิจารณาให้เหมาะสมกับบริบทของชีวิตเรา