SELF DEVELOPMENT

Spiritual Intelligence คืออะไร

บทความนี้เขียนขึ้นมาเพื่อตอบข้อสงสัยของตัวเอง เนื่องจากไปเจอโพสหนึ่งบนโซเชียลมีเดียความว่า

People who have a high 
spiritual intelligence don't just
read word. They read mood,
they read energy, they read
vibes and body language.
Their sense are supreme.
They might not say much, but
they notice everything.

มาทำความเข้าใจมันให้มากขึ้น มากกว่านี้

จุดเริ่มต้นของ Spiritual Intelligence

เกิดขึ้นในปลายทศวรรศ 1990 มีหนังสือที่ชื่อ SQ: Spiritual Intelligence – The Ultimate Intelligence (2000) ที่เขียนขึ้นโดย Dana Zohar และ Ian Marshall

ดาน่าเป็นนักฟิสิกส์และนักปรัชญาชาวอเมริกัน ที่เชี่ยวชาญในเรื่องของการเชื่อมโยงฟิสิกส์ควอนตัมกับจิตวิทยาและการพัฒนามนุษย์ ส่วนเอียน เป็นนักจิตวิทยาและจิตแพทย์ชาวอังกฤษ ที่ทำงานวิจัยด้านเกี่ยวกับสมองและพฤติกรรมมนุษย์

แนวคิดที่ทั้งสองนำเสนอคือการเชื่อมโยงวิทยาศาสตร์กับจิตวิญญาณ, การพัฒนา SQ เพื่อสร้างความหมายและคุณค่าในชีวิต และการประยุกต์ใช้ SQ ในการพัฒนาองค์กรและสังคม

ปกติก่อนหน้านี้เราจะเคยได้ยิน IQ และ EQ อยู่บ่อยครั้ง
แต่ SQ หรือ Spiritual Intelligence (ความฉลาดทางจิตวิญญาณ) เป็นการพัฒนาต่อจากแนวคิดเรื่อง ความฉลาดทางปัญญา (Intelligence Quotient) และ ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotinal Quotient) แนวคิดนี้ได้สะท้อนว่ามนุษย์ไม่ได้มีเพียงความฉลาดทางปัญญาหรืออารมณ์เท่านั้น แต่ยังมีมิติทางจิตวิญญาณที่สำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพและการมีชีวิตที่มีความหมาย

พื้นฐานทฤษฎีนี้ได้รับอิทธิพลมาจากงานวิจัยด้านประสาทวิทยา

มีการค้นพบว่าสมองของมนุษย์มีจุดที่ตอบสนองต่อประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ หรือ God Spot ซึ่ง God Spot นี้ถูกค้นพบโดยดอกเตอร์มิเชล เพอซิงเกอร์และทีมจากมหาวิทยาลัย Laurentian ในช่วงทศวรรษ 1990 พวกเขาพบว่ามีบริเวณในสมองส่วน temporal lobe (ตรงส่วนขมับ) ตอบสนองต่อประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ

โดยลักษณะการทำงานของ god spot นี้ สังเกตได้จาก

  • การเชื่อมโยงการรับรู้กับประสบการณ์เหนือธรรมชาติ
  • มีส่วนในการสร้างความรู้สึกเชื่อมโยงกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า
  • เกี่ยวข้องกับการตั้งคำถามเชิงปรัชญาและการค้นหาความหมาย

งานวิจัยระยะหลังพบว่าไม่มีได้เพียงจุดเดียวในสมอง แต่มันเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายของสมองหลายส่วน ได้แก่ Frontal lobe (เกี่ยวกับการคิดเชิงนามธรรม), Parietal lobe (เกี่ยวกับการรรับรู้ตำแหน่งของตัวเองในจักรวาล) และ Temporal lobe (เกี่ยวกับความทรงจำและอารมณ์) นัยสำคัญในส่วนนี้แสดงให้เห็นว่ามนุษย์มีพื้นฐานทางชีววิทยาในการรับรู้มิติทางจิตวิญญาณ ทำให้สนับสนุนแนวคิดในเรื่องของ SQ

การพัฒนาต่อยอดแนวคิด SQ

โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ได้เสนอทฤษฏีพหุปัญญา ที่บอกว่ามนุษย์มีความฉลาด 9 ด้าน หนึ่งในนั้นคือความฉลาดทางด้านการดำรงอยู่ (Existential Intelligence) ซึ่งมันเชื่อมโยงกับ SQ ที่เน้นความสำคัญของการเข้าใจความหมายและจุดมุ่งหมายของชีวิต

โทนี่ บูซาน นักเขียนชาวอังกฤษก็เป็นอีกคนที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาแนวคิดเรื่องการพัฒนาศักยภาพของสมอง และได้นำแนวคิดเรื่อง Spiritual มาสู่การปฏิบัติ ดังนี้

การเชื่อมโยงสมองกับจิตวิญญาณ

  • ด้วยการพัฒนาเทคนิค Mind Mapping สำหรับการสำรวจตนเอง

เครื่องมือในการพัฒนาจิตวิญญาณ

  • ใช้ Mind Mapping สำหรับการวางเป้าหมายชีวิต
  • การจดบันทึกแบบ Radiant Thinking
  • เทคนิคการทำสมาธิและจินตนาการ

การประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

  • การวางแผนชีวิต
  • การค้นหาความหมาย
  • การพัฒนาตนเองโดยรวม

หลัก 10 ประการในการพัฒนาจิตวิญญาณ

  • การตระหนักรู้ตนเอง
  • การมีเป้าหมายที่ชัดเจน
  • การเชื่อมโยงกับผู้อื่น
  • การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์
  • การฝึกสมาธิ
  • การเรียนรู้ตลอดชีวิต
  • การดูแลสุขภาพกายใจ
  • การมีความกตัญญู
  • การให้และแบ่งปัน
  • การมีความสมดุลในชีวิต

สรุปองค์ประกอบสำคัญของ Spiritual Intelligence

SQ เป็นความสามารถในการเข้าใจและจัดการกับมิติทางจิตวิญญาณของชีวิต โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญ คือ

1. การตระหนักรู้ตนเอง (Self-awareness)

    • เข้าใจตัวตนที่แท้จริง
    • รู้จักจุดแข็งจุดอ่อนของตนเอง
    • เข้าใจความรู้สึกและอารมณ์ของตน

    2. ความเข้าใจในความหมายของชีวิต

      • สามารถค้นหาและเข้าใจจุดมุ่งหมายในชีวิต
      • มองเห็นคุณค่าและความหมายในสิ่งที่ทำ
      • เชื่อมโยงตนเองกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า

      3. การยอมรับและเคารพความแตกต่าง

        • เปิดใจกว้างต่อความเชื่อที่แตกต่าง
        • เข้าใจและยอมรับมุมมองของผู้อื่น
        • มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

        4. ความสามารถในการจัดการกับความทุกข์

          • รับมือกับปัญหาและความท้าทายได้อย่างมีสติ
          • มีความยืดหยุ่นทางจิตใจ
          • สามารถเรียนรู้และเติบโตจากประสบการณ์ที่ยากลำบาก

          5. การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง

            • แสวงหาความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ
            • พัฒนาจิตใจและสติปัญญา
            • มุ่งมั่นที่จะเป็นคนที่ดีขึ้น

            ประโยชน์ของการมี spiritual intelligence

            • ช่วยให้มีความสุขและความพึงพอใจในชีวิตมากขึ้น
            • จัดการกับความเครียดและความวิตกกังวลได้ดีขึ้น
            • มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น
            • ทำงานและใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

            0 0 votes
            Article Rating
            See also  ทำไมการ "เปิดเผยความรู้สึกทั้งหมดออกไป" ถึง ไม่ใช่ วิธีที่ดีที่สุด

            You Might Also Like

            Subscribe
            Notify of
            guest
            0 Comments
            Oldest
            Newest Most Voted
            Inline Feedbacks
            View all comments
            0
            Would love your thoughts, please comment.x
            ()
            x