เคยตั้งคำถามกับตัวเองไหมว่า เราอยู่บนโลกนี้เพื่ออะไร? ความหมายของการอยู่คืออะไร?
คำถามเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ย้อนไป 70 ปีก่อน นักคิดชาวฝรั่งเศสชื่อ ฌอง-ปอล ซาร์ตร์ เคยมีแนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้
ซาร์ตร์เชื่อว่า ทุกคนมีอิสระในการเลือกและตัดสินใจ แต่พร้อมกันนั้นก็ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง เขาท้าให้เราคิดใหม่ว่า ตัวเรานี่แหละที่เป็นผู้กำหนดความหมายให้กับการดำรงอยู่ของตัวเอง ไม่ใช่สิ่งอื่น
ในบทความนี้ เราจะสำรวจแนวคิดของซาร์ตร์ ดูว่ามันจะช่วยให้เราเข้าใจตัวเองและโลกรอบตัวขึ้นได้อย่างไร
being and nothingness
ผลงานสำคัญชิ้นหนึ่งชื่อว่า “การดำรงอยู่และความว่างเปล่า” (Being and Nothingness) พูดถึงแนวคิดเรื่องเสรีภาพและความรับผิดชอบ, ความเชื่อโดยไม่สุจริต (Bad Faith), และความสัมพันธ์กับผู้อื่น แนวคิดเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญของปรัชญาอัตถิภาวนิยมของซาร์ตร์ ที่เน้นย้ำว่ามนุษย์มีเสรีภาพในการเลือกและสร้างความหมายให้กับชีวิตของตนเอง แม้จะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนและความขัดแย้งในการมีชีวิตอยู่ก็ตาม
จิตสำนึกของมนุษย์ (Being for Itself)
ซาร์ตร์มองว่าจิตสำนึกของมนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่มีแก่นสารตายตัว แต่เป็นกระบวนการที่กำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จิตสำนึกสามารถสร้างระยะห่างตัวเองกับโลกภายนอก ทำให้เราสามารถคิด ตั้งคำถาม และจินตนาการถึงความเป็นไปได้ต่างๆ นี่คือที่มาของเสรีภาพของมนุษย์
เสรีภาพและความรับผิดชอบ
ซาร์ตร์เชื่อว่ามนุษย์มีเสรีภาพโดยสมบูรณ์ในการเลือกและกระทำ แม้ในสถานการณ์ที่ดูเหมือนไม่มีทางเลือก เราก็ยังเลือกได้ว่าจะตอบสนองอย่างไร ด้วยเสรีภาพนี้ เราจึงต้องรับผิดชอบต่อการกระทำและผลลัพธ์ทั้งหมด ไม่สามารถอ้างโชคชะตาหรือสิ่งภายนอกมากำหนดชีวิตเราได้
ความเชื่อโดยไม่สุจริต (Bad Faith)
เป็นรูปแบบของการหลอกตัวเอง เมื่อคนปฏิเสธเสรีภาพและความรับผิดชอบของตน เช่น การอ้างว่าตนเองไม่มีทางเลือก หรือการยึดติดกับบทบาททางสังคมมากเกินไปจนลืมว่าตนเองมีเสรีภาพที่จะเลือกเป็นอย่างอื่นได้
การมอง (The Look)
ซาร์ตร์อธิบายว่าเมื่อเรารู้สึกว่าถูกผู้อื่นมอง เรากลายเป็นวัตถุในโลกของเขา ทำให้เรารู้สึกอึดอัดและสูญเสียเสรีภาพบางส่วน การตระหนักถึงมุมมองของผู้อื่นทำให้เราเห็นตัวเองในแง่มุมที่เราอาจไม่เคยนึกถึงมาก่อน
การดำรงอยู่ในตัวเอง vs การดำรงอยู่เพื่อตัวเอง
“การดำรงอยู่ในตัวเอง” (Being-in-itself) คือสิ่งที่ไม่มีจิตสำนึก เช่น โต๊ะ หิน มันเป็นอย่างที่มันเป็นโดยสมบูรณ์ ส่วน “การดำรงอยู่เพื่อตัวเอง” (Being-for-itself) คือสิ่งมีชีวิตที่มีจิตสำนึก ซึ่งสามารถคิด เลือก และเปลี่ยนแปลงตัวเองได้
ความว่างเปล่า
ซาร์ตร์มองว่าจิตสำนึกของมนุษย์คือความว่างเปล่า ไม่มีแก่นแท้ตายตัว ทำให้เราสามารถปฏิเสธสิ่งที่เป็นอยู่และจินตนาการถึงสิ่งที่ยังไม่มี นี่คือที่มาของความคิดสร้างสรรค์และการเปลี่ยนแปลง
ความทุกข์ทรมานทางจิตวิญญาณ
เมื่อมนุษย์ตระหนักถึงเสรีภาพอันไม่มีขีดจำกัดของตน พวกเขาอาจรู้สึกหวาดกลัวและสับสน เพราะไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวให้ยึดถือ ต้องสร้างความหมายให้กับชีวิตด้วยตนเอง
ร่างกาย
ซาร์ตร์มองว่าร่างกายเป็นทั้งสิ่งที่เรา “เป็น” และสิ่งที่เรา “มี” เราประสบกับร่างกายตนเองในฐานะ “การดำรงอยู่เพื่อตัวเอง” แต่ร่างกายของผู้อื่นเป็น “การดำรงอยู่ในตัวเอง” สำหรับเรา
ความสัมพันธ์กับผู้อื่น
ซาร์ตร์มีแนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ เห็นได้จากงานสองชิ้นของเขา ใน “Being and Nothingness” และต่อยอดความคิดนี้ไปในบทละคร “No Exit”
- ในหนังสือ “Being and Nothingness”:
- ซาร์ตร์บอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์มักเต็มไปด้วยความขัดแย้ง คนเรามักขัดแย้งกัน
- แต่ละคนพยายามยืนยันเสรีภาพของตนในขณะที่มองผู้อื่นเป็นวัตถุสิ่งของ
- เมื่อคนอื่นมองเรา เรารู้สึกอึดอัด เหมือนเสียอิสรภาพไปบางส่วน
- ต่อยอดไปสู่ “No Exit”
- มีประโยคดังที่ว่า “นรกคือคนอื่น”
- ในบทละครนี้ ตัวละครสามคนติดอยู่ในห้องเดียวกันชั่วนิรันดร์
- พวกเขาต้องเผชิญกับการถูกตัดสินและประเมินโดยผู้อื่นตลอดเวลา
- “นรก” ในที่นี้ไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นสภาวะที่ต้องอยู่ภายใต้สายตาที่ถูกคนอื่นจับจ้องและตัดสินตลอดเวลาโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง
- ซาร์ตร์ไม่ได้หมายความว่าทุกความสัมพันธ์เป็นนรกเขาแค่ต้องการบอกว่า บางครั้ง การมีคนอื่นอยู่รอบตัวก็ทำให้เรารู้สึกไม่เป็นอิสระ.. แสดงให้เห็นว่าการดำรงอยู่ของผู้อื่นท้าทายและจำกัดเสรีภาพของเรา
- การอยู่ร่วมกับคนอื่นเป็นเรื่องยาก เราต้องพยายามเข้าใจว่าคนอื่นก็มีอิสระเหมือนเรา
บทสรุป
แนวคิดของซาร์ตร์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ยังคงมีความสำคัญในโลกปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะมองว่าการอยู่ร่วมกับผู้อื่นเป็นเรื่องยาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราควรหลีกหนีจากสังคม
ซาร์ตร์ท้าทายให้เราคิดใหม่เกี่ยวกับวิธีที่เรามองตัวเองและผู้อื่น เขาเตือนให้เราระวังการมองคนอื่นเป็นเพียงวัตถุ และให้ตระหนักว่าทุกคนต่างมีอิสรภาพและความซับซ้อนในตัวเอง
ในโลกที่เราต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย การเข้าใจแนวคิดนี้อาจช่วยให้เรามีความเห็นอกเห็นใจและเคารพผู้อื่นมากขึ้น ท้ายที่สุด การยอมรับว่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์เป็นเรื่องซับซ้อน อาจเป็นก้าวแรกสู่การสร้างสังคมที่เราทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความหมายและเป็นอิสระค่ะ