เส้นทางปิคนิกสระบุรี-เขาใหญ่
สวัสดีเดือนพฤศจิกายน! ปีนี้ลมหนาวมาเยือนคนกรุงเทพฯแต่วันแรกของเดือนเลย ยังจำได้ว่าปีที่แล้วไปเยือนม่อนแจ่มที่เชียงใหม่ช่วงนี้ยังไม่ได้สัมผัสถึงความหนาวสักเท่าไหร่ วันนี้เลยกะมารีวิวที่เที่ยวเขาใหญ่บ้างค่ะ เพราะหน้านี้ฤดูนี้ หลายๆที่ก็ใกล้ๆจะมีงานเทศกาลดนตรีรับลมหนาว ใครยังไม่ได้วางแผนเส้นทาง เปิดมาเจอรีวิวนี้ก็อาจจะได้ไอเดียไปบ้างเนาะ
ทริปนี้เราเดินทางไปกับครอบครัวออกแต่ 7 โมงเช้าสบายๆ เสบียงพร้อม ล้อหมุน ทีแรกกะไปชมดอกไม้ที่สวนบิ๊กเต้ก่อน (หลายๆท่านอาจจะไม่รู้จัก เช่นเดียวกับ BB เห็นสมาชิกท่านนึงแนะนำมาจากในเว็บ pantip ว่าดอกไม้ที่นี่ออกทั้งปี สลับแปลงกันไปเราก็ว่าจะลองไปกันดูค่ะ) ทว่าในระหว่างทางแม่ก็เห็นป้ายบอกทางไปน้ำตกเจ็ดสาวน้อย ซึ่งอีกไม่กี่กิโลก็ถึงพอดี พวกเราก็เลยจัดไป เปลี่ยนชุดเล่นน้ำ หิ้วถุงปิกนิคลงกันโลด ค่าเข้าอุทยานผู้ใหญ่คนละ 20 บาท เด็กๆเข้าฟรี พอลงมาชั้นแรกก็เห็นผู้คนพาครอบครัวมากันพอสมควรเลย ท่านที่พาผู้สูงอายุมาก็ไม่เป็นปัญหาค่ะ เพราะทางเข้าที่นี่สามารถเข็นรถเข็นได้สะดวกเลย
พี่ๆที่อุทยานใจดี คอยเดินตรวจดูความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเป็นระยะ มีป้ายบอกสถานการณ์น้ำ ตอนที่เราไปคือปลายเดือนตุลาคม วันนั้นสถานการณ์น้ำปกติ (มีห่วงยางให้บริการด้วย)
เดินขึ้นมาก็จะเป็นน้ำตกชั้นที่ 2 ก็มีคนเล่นค่ะแต่วันนั้น คนจะอยู่ที่ชั้นแรกกันเยอะสุด (ชั้นที่กระแสน้ำแรงและเป็นอันตรายเค้าจะติดป้ายห้ามเล่น และมีทุ่นแดงกั้น) วันนั้นเราไปเล่นกันถึงชั้นที่ 4 ค่ะ ทางลงน้ำตกจะทุลักทุเลกันหน่อย แต่สนุกมาก และสวยมากค่ะ เล่นน้ำกันสักพักฝนดันลงเม็ดหยอยๆ ก็ถึงเวลาเดินทางไปสถานีต่อไปกันเลยดีกว่า
ที่นี่เขาปลูกดอกเบญมาศสวยๆหลายสีหลายพันธุ์เลย คือลงมาชมแปลงดอกไม้ใกล้ๆแล้วชอบมาก ใครที่รักการถ่ายภาพดอกไม้นี่บอกเลย ฟิน ไม่ผิดหวังค่ะ (ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 20 บาท เด็กไม่คิด) มีร้านกาแฟให้นั่งชิลล์อีกด้วย
ทักทายดอกเบญมาศ ทานชา กาแฟ สถานีถัดไปก็ยิงยาวไปปาลิโอ้เขาใหญ่เลย ช่วงบ่ายเราก็ใช้เวลาเดินถ่ายภาพเล่นกันเพลินๆ
แต่ในฐานะนักท่องเที่ยวที่มาเยือนวันเสาร์ รู้สึกว่าที่นี่เงียบเหงาพอดู ร้านรวงก็พลอยไม่ค่อยเปิด และไม่คึกคักมากเท่าไหร่ หรือปาลิโอ้นั้นถึงจุดอิ่มตัวแล้วที่ว่าใครมาเที่ยวเขาใหญ่ต้องมาปาลิโอ้ แอบมีคิดเล่นๆว่า หรือทุกคนในประเทศเขามาเที่ยวที่นี่กันหมดจนเบื่อแล้วอะไรทำนองนี้ 555 แต่ยังคงถ่ายรูปสวยในบรรยากาศอิตาลีเช่นเคยค่ะ ทว่าคราวนี้อาจเป็นอารมณ์ที่แตกต่างจากรีวิวที่ผ่านมาของท่านอื่นๆสักหน่อย เพราะ BB ไม่เจอแดดเลย
ตกเย็นก็ถึงเวลาเข้าที่พักกันได้
ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมพอดี คนที่เข้ามาพักก็จะมีเด็กๆติดมาด้วย วิ่งเล่นกันครึ้กครื้นเลยค่ะ
เช้าต่อมาพี่ชวนมากันที่วัดสระน้ำใส เห็นองค์หลวงพ่อบนเขาลิบๆ
การจะขึ้นไปสักการะขึ้นได้ 2 ทาง จะขับรถขึ้นไปเลยก็ได้ หรือจะขึ้นไปทางบันได 250 ขั้นนี้ แน่นอนค่ะ ณ จุดนี้ ฮึบก้าวฮึบ!! พร้อมหยิบไม้ตีระฆังระหว่างทางขึ้นไป อาหารเช้าจะย่อยก็เวลานี้ พอเดินขึ้นไปได้สักระยะจะมีศาลาสามารถนั่งพักได้ค่ะแล้วเดินต่อ
เกือบจะถึงแล้วค่ะ จุดนี้มองเห็นธรรมชาติด้านล่าง ที่มีคนเล่าขานว่าแต่ก่อนเคยเป็นบ่อน้ำ จึงเป็นที่มาของชื่อวัดสระน้ำใสนั่นเองค่ะ
หลังจากไหว้สักการะองค์หลวงพ่อที่วัดสระน้ำใสแล้ว พวกเราไปทำบุญกันที่สำนักสงฆ์ป่ามะขาม ซึ่งที่นี่มีพระอาพาธอยู่จำนวนมาก เราได้เตรียมข้าวของนำไปถวาย ซึ่งที่นี่เขาจะมีจุดที่ให้ประชาชนสามารถนำไปวางได้เลย
และแล้วก็แวะทานอาหารก่อนเดินทางกลับบ้าน