สิงคโปร์มีอะไร? ตอนที่ 2
เช้านี้ตื่นมาเจอรูมเมทชาวอินโดนีเซีย เธอมาเป็นครั้งที่สอง ถามเราว่าหาซิมได้ที่ไหน เราก็บอกเราซื้อตั้งแต่แอร์พอร์ทแล้ว แต่ที่เซเว่นก็มีขายอยู่นะ วันนี้จะไปเกาะเซนโตซ่า เธอบอก Sentosa วันเดียวเที่ยวไม่หมด เราบอกไปคนเดียวไม่เล่นเครื่องเล่นจ้า ไม่มีเพื่อนไปมันไม่สนุก ก็ขำกันใหญ่
เอาล่ะหลังทานมื้อเช้าแล้วก็ออกมา Surway ต่อเลย นั่ง mrt จาก Chinatown เช่นเคย แต่รอบนี้เป็นสายสีม่วง ไปลงที่ NE1 HarbourFront จากนั้นเดินตามป้ายทะลุตึก Vivo City ออกมา แล้วก็เดินไปตามทาง Sentosa boardwalk
เป้าหมายวันนี้เราจะไปหาเจ้าลูกโลกหมุนที่ Universal Studio โดยจะเดินเล่นสำรวจแค่บริเวณรอบๆ เพราะวันนี้เราไม่มีเวลาพอที่จะเข้าไปเล่นเครื่องเล่นต่างๆ แต่ถ้าหากมาเป็นแก๊งค์ก็คงต้องอยู่ที่นี่กันทั้งวันแน่นอน
คนจะเริ่มมากันตั้งแต่เค้าเตอร์ยังไม่เปิด ทั้งนักท่องเที่ยว คณะทัวร์ กลุ่มเด็กๆที่มาทัศนศึกษา เช่นเดียวกับเรา พอสายๆก็จะเริ่มแน่น (วันธรรมดานะเนี่ย) ช่วงที่เดินไปเข้าห้องน้ำเจอกลุ่มเด็กน้อยกรุ๊ปทัศนศึกษากำลังออกมาพอดี เด็กน้อยมาก น่าจะประมาณอนุบาล 1-2 มีเด็กคนหนึ่งนางเดินมาจูงมือเรา สีหน้ากำลังมีความสุขมาก จะพาเดินไปไหนไม่รู้ น่ารักมากมาย แต่เราก็มองหาผู้ปกครองเจอพอดี ก็เลยส่งต่อมือน้อยๆให้เขาเดินแถวกันไปทางอแควเรี่ยม
จากนั้นเราก็เดินเล่นอยู่พักหนึ่ง จะว่าไปน้ำเปล่าที่นี่ราคา 3$ แพงเอาเรื่องทีเดียว
ขาออกจากเกาะ เราขึ้นไปนั่ง Sentosa Express ลงที่ตึก Vivo (ไม่เสียค่าบริการ) และได้ชมวิวจากด้านบนด้วยค่ะ
โปรแกรมช่วงบ่ายของวันนี้ BB มีไปฟังสัมนาที่ออฟฟิศกูเกิ้ลสิงคโปร์ แต่เนื่องจากว่าเราออกมาจาก Sentosa เร็ว จึงมีเวลาไปต่อที่ๆน่าสนใจแถวบริเวณที่เราจะไปฟังสัมมนา นั่นก็คือ Gillman Barracks สำหรับผู้ที่ชื่นชอบงานศิลปะ และงาน contemporary art
เรานั่ง MRT สายสีส้มจาก HarbourFront ไปลงที่ CC27 Labrador Park ซึ่งจะเชื่อมกับสะพานตรง 4 แยกพอดี เราก็แวะทานข้าว และเดินผ่านตึก Maple ที่เดี๋ยวต้องมาฟังสัมนา เดินเลยไปเรื่อยๆสักพักก็ถึง Gillman Barracks
ที่นี่เหมาะกับการขับรถเข้ามา แต่ก็สามารถเดินได้ค่ะ เดินเยอะนิดหนึ่ง เพราะประกอบด้วยแกลเลอรี่ถึง 11 บล็อคและร้านอาหารอีกหลายร้านเลยทีเดียว เหมือนเป็นศูนย์กลางการจัดนิทรรศการงานศิลปะ
BB ได้หาข้อมูลมาก่อนว่าช่วงนี้เค้ามีจัดนิทรรศการอะไรอยู่บ้าง ก็เลยพบงานนึงที่น่าสนใจ ของคุณ Ohata Shintaro ศิลปินชาวญี่ปุ่น ซึ่งจัดแสดงที่ Mizuma Gallery (ในแผนที่จะอยู่ล็อค 22)
RESONATE – งานศิลปะแบบสื่อผสม และ งานวาดอคริลิคบนผืนผ้าใบ
เราใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายฟังสัมมนา ทำให้ได้รู้จักและชิตแชตกับเพื่อนชาวเวียดนาม คนแรกมาจากฮานอย ที่เดี๋ยวเค้าก็จะไปงานสัมนาที่เชียงใหม่บ้านเราเหมือนกัน อีกสองท่านมาจากโฮจิมินท์บริษัทส่งมา ก็ได้ทานอาหารไปคุยกันไปว่าทำงานเป็นไง มางานได้อะไรบ้าง ได้แลกเปลี่ยนและเรียนรู้กันพอสมควร
ค่ำซะแล้ว แต่พละกำลังเรายังไม่หมดแค่นี้ ขอบอกว่า BB เดินโหดมาก แต่ถือเป็นการเดินที่ชิลล์ๆ เพราะข้างทางล้วนแต่เป็นสิ่งที่แปลกใหม่สำหรับเรา สิ่งสำคัญคือเรานั้นสนุกไปกับมันทุกวินาที
ที่เมื่อวานเราอยู่ฝั่ง Marina Bay Sands วันนี้มาเดินบน Helix Bridge ข้ามไปอีกฝั่ง (สะพาน Helix นี้ที่ว่าออกแบบโครงสร้างมาคล้ายกับสาย DNA ของมนุษย์)
เดินเรื่อยมาถึงอีกสะพานที่เชื่อมระหว่างฝั่ง Explanade Theatre กับ Merlion Park ถ้ามองไปตรงเมอไลอ้อนนั้นจะเห็นว่าคนแน่นหนามาก เราใช้เวลาอยู่ตรงนี้พอสมควร เพราะวิวดีใช้ได้ ถ่ายภาพตรงมุมนี้เลยก็แล้วกัน
ต่อวันที่ 3 เลยก็แล้วกันค่ะ ช่วงเช้าเรามาทานอาหารแถวตึก Suntec City นั่ง MRT สายสีฟ้าจากสถานี Chinatown มาลง Promenade โผล่ขึ้นมาด้านบนจะเจอเจ้าน้ำพุแห่งความมั่งคั่งตระหง่านอยู่วงเวียนกลางระหว่างกลุ่มตึกสูง ซึ่งเท่าที่หาข้อมูลมาบริเวณน้ำพุแห่งนี้เป็นพื้นที่ๆมีฮวงจุ้ยดีที่สุด
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ประตูรอบแรกก็เปิดให้เข้าพอดีค่ะ ตอนเข้าไปด้านใน BB ถือกล้องถ่ายภาพ 360 องศาไปด้วย (ที่เคยเขียนรีวิวเอาไว้) หน้าตามันจะยาวๆคล้ายๆรีโมท ตอนกดถ่ายภาพเราก็ชูมือขึ้นไป คุณพี่เจ้าหน้าที่เค้าเกิดความสงสัยถามว่าเราทำอะไร มันคืออะไร เราก็อธิบายไปแบบเขินๆ ไม่รู้ว่าในตอนแรกเค้าอาจจะคิดว่าเราหา UFO หรือกดปุ่มอะไรแปลกๆอยู่หรือเปล่า แต่ก็ขำๆค่ะ เค้าก็ยิ้ม ไม่ว่าอะไร เจ้าหน้าที่น่ารัก อัธยาศัยดีมาก
วิธีขอพรให้ใช้มือข้างขวาสัมผัสน้ำพุพร้อมเดินวนตามเข็มนาฬิกาทั้งหมด 3 รอบ สำหรับเราแล้วแค่ได้เอามือมาสัมผัสกับน้ำพุนุ่มๆ เย็นๆ ได้รับไอน้ำ ก็ทำให้ใจสงบขึ้นมากเลย กลับจากทริปนี้ก็ขอให้ประสบความสำเร็จดังที่ขอกับน้ำพุแห่งนี้ด้วยเถิด (ความเชื่อส่วนบุคคล)
หลังออกจากน้ำพุ เราหาทางเดินไปตามถนน เพื่อไปยัง Brah Basah Complex ซึ่งใกล้กับถนนบูกิส
ทำไมต้องมาที่นี่? เพราะว่าที่นี่เป็นแหล่งของหนอนหนังสือนั่นเอง และนอกจากร้านหนังสือแล้วก็มีร้านค้าเกี่ยวกับอุปกรณ์ศิลปะหลายร้านเลย ใครที่หาอุปกรณ์แถวบ้านเราไม่ได้ก็แนะนำลองมาเดินช็อปที่นี่ดูค่ะ เสร็จจากนั้นเราเดินผ่านหอศิลป์ก็เลยขึ้นไปชมนิทรรศการสักหน่อย (อีกแล้วหรอ!)
เริ่มตกบ่าย ทีนี้กำลังจะไปเดินเล่นที่ถนนบูกิส เราก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้เช็คเอ้าท์เลย เพลินไปหน่อย ก็เลยต้องกลับไปยังโฮสเทล ฮือ T-T
mrt สายสีฟ้าเช่นเคย ขึ้นจาก DT14 Bugis ไปลง DT19 Chinatown เนื่องจากวันก่อนหน้านี้มีหลงทิศไปบ้าง หากต้องการขึ้นมาโผล่ในซอยที่คนเดินกันเยอะๆ ให้ออก Exit A เลยค่ะ
เช็คเอ้าท์ฝากกระเป๋าเสร็จออกมาดูของฝากติดไม้ติดมือกลับสักหน่อย เดินไปร้านเจอขนมเปี๊ยะ ถ้าจำไม่ผิดแถวซอย Sago ไส้ไข่เค็มอร่อยมากกก ไข่เค็มมัน ลูกใหญ่แดงๆเต็มๆ เนื้อเค้าก็หวานมัน ดีงาม! ส่วนพวกร้านของฝากก็มีให้เลือกหลากหลาย พวกช็อคโกแลตที่ส่วนใหญ่มาจากมาเลเซีย อันที่เราว่าอร่อยสำหรับเราที่ได้หยิบติดมาวันนั้น เป็น ไวท์ช็อคโกแลตเคลือบสตรอเบอรี่ฟรีซดรายด์ของ Alfredo ที่เป็นกระป๋องกลม อันนั้นเราชอบมากค่ะ
แพ็คของเรียบร้อย ก็ได้เวลาไปสนามบินแล้ว เส้นทางก็ง่ายแสนง่าย ขากลับเราก็ลงไปที่ mrt เส้นสีฟ้า DT19 chinatown เช่นเคย เลือกไปสุดสายโลด DT35 Expo จากนั้นก็ค่อยเปลี่ยนเป็นสายสีเขียวไป Changi Airport แล้วก็คืนบัตร EZ-Link ที่สถานีเลย ได้เงินที่คงเหลือในบัตรคืน
ส่งท้ายสำหรับการมาเยือนสิงคโปร์เป็นครั้งแรกของเรา มีสิ่งที่เหนือคาดหมายไปบ้างที่ทำให้ประทับใจและไม่อาจปฏิเสธถ้าหากต้องกลับมาเยือนอีกครั้ง การเดินทางสะดวกและเที่ยวง่าย ความปลอดภัยนั้นก็ไม่ถึงกับร้อยเปอร์เซ็นแต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับสูงค่ะ
[…] ต่อตอนที่ 2 […]