แวบเดียวก็ครบ 1 ปีแล้วที่เคยเขียนรีวิวหนังสือหมวดเทคโนโลยี
กลับมาที่เดือนกันยายนอีกครั้ง เดือนนี้มีข่าวแฮคเกอร์ แฮคข้อมูลสาธารณสุขไทย มีทั้งข้อมูลคนไข้ วัน เดือน ปีเกิด ข้อมูลแพทย์ โรงพยาบาลที่เข้ารักษา ฯลฯ นำชุดข้อมูลไปประกาศขายทางอินเตอร์เน็ต ทั้งช่วงนี้ก็ยังมีข่าวแก๊งค์มิจฉาชีพ ไล่ส่งข้อความตามทวงหนี้ ให้กู้เงิน แจกเงินบ้าง ไม่ใช่แค่ข้อความแต่ถึงขนาดโทรคุกคามด้วย คุณคิดว่าเรื่องเหล่านี้เกี่ยวข้องกันยังไง? มีผู้คนมาคอมเม้นตามโซเชียลมีเดียว่าวันเดียวได้รับ sms ทวงหนี้มากกว่า 3 ครั้ง ทั้งที่ตัวเองไม่เคยไปกู้เงินหรือค้ำประกันให้ใคร ไม่เว้นแม้กระทั่งคนในวงการเทคโนโลยี แต่ฉันเชื่อว่าคนเหล่านี้น่าจะมีภูมิคุ้มกันดีกว่าคนทั่วไป อย่างน้อยก็อาจจะมีเซ้นส์ เช่น ไม่กดลิ้งค์ที่ส่งมาจากคนที่ไม่รู้จัก ดีหน่อยก็กดส่งรายงานว่าเป็นแสปม คุณก็คงสงสัยเหมือนกับพวกเขา ว่าคนที่ส่ง sms หรือโทรมาเนี่ย เขาไปเอาเบอร์เรามาจากไหน ทั้งที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้น ผู้คนยังต้องมาเจอภัยคุกคามแบบนี้
วันนี้ BB ก็เลยเฟ้นหนังสือใหม่และที่น่าสนใจที่เกี่ยวข้องกับ Digital Privacy มารีวิวเพื่อใครที่สนใจอ่านแล้วจะได้เพิ่มภูมิคุ้มกันได้ไม่มากก็น้อย
#1 Cyber Privacy
หนังสือ Cyber Privacy ได้ทำให้เข้าใจถึงรอยเท้าในโลกดิจิตอลที่เราทิ้งไว้ในชีวิตประจำวัน และได้เผยให้เราเห็นว่าบางครั้งข้อมูลของเราถูกนำไปใช้อย่างไรโดยภาครัฐ เอกชน แม้แต่นายจ้างและโรงเรียนของเราเอง ในเล่มนี้ได้มีการอธิบายถึงแนวโน้มของ data science, เทคโนโลยี, และกฎหมายที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวในชีวิตประจำวันของพวกเรา
คำถามใหญ่ๆที่ชวนค้นหาคำตอบอยู่ในเล่ม อย่างการรวมข้อมูลทำลายอิสระความเป็นส่วนตัวอย่างไร? วิธีวัดว่าความเป็นส่วนตัวมีค่าขนาดไหน? และสังคมจะได้รับประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างไร? ในขณะที่การจัดการความเสี่ยงจะทำให้มองเห็นมูลค่าต้นทุนชัดเจนขึ้น
ถึงเวลาแล้วที่จะคิดใหม่เกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว ถ้ามีอะไรบางอย่างคอยดู ฟัง และเรียนรู้เกี่ยวกับพวกเราอยู่ตลอดเวลา
หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับผู้อ่านที่ต้องการคำตอบสำหรับคำถามสามข้อ: ใครมีข้อมูลของคุณ? ทำไมคุณควรใส่ใจ? และที่สำคัญที่สุด คุณทำอะไรกับเรื่องนี้ได้บ้าง?
#2 Privacy is Power
คุณเคยถูกปฏิเสธการประกัน ถูกปฏิเสธเงินกู้ หรือถูกปฏิเสธงานไหมคะ? คุณเคยโดนขโมยหมายเลขบัตรเครดิตของคุณหรือไม่? คุณรอนานเกินไปเมื่อต้องโทรติดต่อกับฝ่ายบริการลูกค้าหรือเปล่า? คุณจ่ายเงินซื้อสินค้าในราคาที่สูงกว่าเพื่อนของคุณหรือไม่? คุณเคยถูกล่วงละเมิดทางออนไลน์หรือเปล่า? คุณสังเกตเห็นว่าการเมืองเริ่มสร้างความแตกแยกมากขึ้นในประเทศของคุณหรือไม่?
เล่มนี้เป็นหนังสือเล่มแรกที่มีการเรียกร้องถึงการยุติเศรษฐกิจข้อมูล มีการเปิดเผยในเล่มว่าข้อมูลส่วนบุคคลของเราให้อะไรกับเทคโนโลยีขนาดใหญ่และรัฐบาลมากเกินไป เหตุใดจึงสำคัญ และสิ่งที่เราสามารถทำได้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้
ช่วงเวลาที่คุณเปิดดูโทรศัพท์ในตอนเช้า แสดงว่าคุณกำลังให้ข้อมูลของคุณแก่ผู้อื่น แม้กระทั่งก่อนที่คุณจะปิดนาฬิกาปลุก องค์กรทั้งองค์กรจะได้รับการแจ้งเตือนเมื่อคุณตื่นนอน สถานที่ที่คุณนอน และนอนกับใคร โทรศัพท์ของเรา ทีวีของเรา แม้แต่เครื่องซักผ้าก็อาจเป็นสายลับในบ้านของเราเอง
โดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากคุณ หรือแม้แต่การรับรู้ของคุณด้วยซ้ำ บริษัทเทคโนโลยีกำลังตามเก็บเกี่ยวตำแหน่งของคุณ สิ่งที่คุณชอบ นิสัย ความสัมพันธ์ของคุณ ความกลัว ปัญหาทางการแพทย์ของคุณ และแชร์กันระหว่างพวกเขาเอง เช่นเดียวกับรัฐบาลและอีแร้งข้อมูลจำนวนมาก พวกเขาไม่ได้เพียงแค่ขายข้อมูลของคุณ พวกเขากำลังขายอำนาจที่จะโน้มน้าวคุณและตัดสินใจแทนคุณด้วย แม้ว่าคุณจะขอให้พวกเขาไม่ทำอย่างชัดเจนก็ตาม และไม่ใช่แค่คุณเท่านั้น ผู้ติดต่อทั้งหมดของคุณก็เช่นกัน พลเมืองแทบทุกคน
เทคโนโลยีดิจิตอลกำลังขโมยข้อมูลส่วนบุคคลของเรา และอำนาจของเราในการตัดสินใจเลือกอย่างอิสระด้วย เพื่อเรียกคืนอำนาจนั้นและประชาธิปไตยของเรา เราต้องควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลของเรากลับคืนมา เฝ้าระวังบ่อนทำลายความเท่าเทียม พวกเรากำลังได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างตามข้อมูลของเรา
มันลึกซึ้ง น่าสะพรึงกลัว และใช้งานได้จริง Privacy is Power ได้ย้ำถึงผลกระทบของทัศนคติแบบหลวมๆของเราที่มีต่อข้อมูล และกำหนดวิธีที่เราจะควบคุมกลับคืนมาได้
หนังสือเล่มนี้ให้มุมมองเชิงปรัชญาเกี่ยวกับการเมืองเรื่องความเป็นส่วนตัว และเสนอวิธีแก้ปัญหาที่ใช้งานได้จริง ทั้งสำหรับผู้กำหนดนโยบายและประชาชนทั่วไป
‘เป็นคู่มือที่จำเป็นสำหรับปัญหาสมัยใหม่ที่เร่งด่วนที่สุดเรื่องหนึ่ง’ – ฮันนาห์ ฟราย์
‘จำเป็นต้องอ่านสำหรับพวกเราที่ชอบคลิก ‘ตกลง’ เป็นสิบครั้งต่อวัน’ – โจนาธาน วูล์ฟ
#3 People Count
ถ้าสนใจการระบาดของโควิด 19 ในช่วงนี้ เล่มนี้น่าจะเหมาะมากเพราะกล่าวถึงเทคโนโลยีการติดตามผู้สัมผัสและประโยชน์ของมันเพื่อการสาธารณสุข โดยพิจารณาจากคำถามเกี่ยวกับประสิทธิภาพ ความเท่าเทียม และความเป็นส่วนตัว
คุณจะหยุดการระบาดใหญ่ก่อนวัคซีนจะมาถึงได้อย่างไร? การติดตามผู้สัมผัสเป็นกุญแจสำคัญ ขั้นตอนแรกในกระบวนการที่พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพ: ติดตาม ทดสอบ และแยก สมาร์ทโฟนสามารถรวบรวมข้อมูลบางอย่างที่จำเป็น ไม่ใช่แค่สถานที่ที่คุณเคยไป แต่ยังรวมถึงผู้ที่อยู่ใกล้คุณด้วย เราสามารถปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีการติดตามที่เราพกพาติดตัวไปได้หรือไม่ เช่น อุปกรณ์ที่มี GPS, Wi-Fi, บลูทูธ และการเชื่อมต่อโซเชียลมีเดีย เพื่อให้บริการด้านสาธารณสุขในช่วงการแพร่ระบาด? ในหนังสือ People Count ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ซูซาน แลนโด ได้พิจารณาแอพบางตัวที่พัฒนาขึ้นสำหรับการติดตามผู้ติดต่อในช่วงการระบาดใหญ่ของ COVID-19 โดยมีการพบประเด็นด้านประสิทธิภาพและความเท่าเทียมได้มาบรรจบกัน
แลนโด ได้อธิบายถึงประสิทธิภาพ (หรือไม่ได้ผล) ของการแทรกแซงทางเทคโนโลยีต่างๆ รวมถึง dongles ในสิงคโปร์ที่รวบรวมข้อมูลบริเวณใกล้เคียง ระบบอัตลักษณ์ประจำชาติไบโอเมตริกซ์ของอินเดีย การทดลอง TraceFi ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และเครือข่ายเฝ้าระวังของจีน ประเทศอื่นๆ ปฏิเสธการสอดส่องแบบจีนเพื่อสนับสนุนระบบที่ใช้ Bluetooth, GPS และเสาสัญญาณมือถือ แต่แลนโดอธิบายถึงข้อจำกัดของเทคโนโลยีเหล่านี้ นอกจากนี้ เธอยังรายงานด้วยว่าแอปในปัจจุบันจำนวนมากดูเหมือนจะตั้งอยู่บนแบบจำลองของรายได้ของคนชั้นกลางและงานที่สามารถทำได้จากระยะไกล แอปเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพได้อย่างไรเมื่อชุมชนที่มีรายได้น้อยและคนงานด่านหน้าเป็นคนที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสมากที่สุด? โควิด-19 จะไม่ใช่โรคระบาดครั้งสุดท้ายของเรา เราจำเป็นต้องได้รับวิธีการควบคุมการติดเชื้อที่จำเป็นนี้
#4 Data and Goliath
ข้อมูลมีอยู่ทุกที่ เราสร้างขึ้นทุกครั้งที่เราออนไลน์ เปิดหรือปิดมือถือ หรือชำระเงินด้วยบัตรเครดิต ข้อมูลนี้ถูกจัดเก็บ ศึกษา ซื้อและขายโดยบริษัทและรัฐบาลเพื่อการเฝ้าระวังและเพื่อการควบคุม
หนังสือเล่มนี้แสดงให้เห็นว่าข้อมูลเหล่านี้นำไปสู่อินเทอร์เน็ตแบบสองขั้วที่ให้อำนาจแก่ผู้คน แต่ถูกทำร้ายโดยสถาบันที่บุคคลเหล่านั้นพึ่งพา
ใน Data and Goliath ผู้เขียนได้เปิดเผยรูปแบบของการสอดแนม การเซ็นเซอร์ และการโฆษณาชวนเชื่อในสังคมในปัจจุบัน โดยตรวจสอบความเสี่ยงของอาชญากรรมในโลกไซเบอร์ การก่อการร้ายในโลกไซเบอร์ และสงครามไซเบอร์ เขาแบ่งปันโซลูชั่นด้านเทคโนโลยี กฎหมาย และสังคมที่สามารถช่วยสร้างโลกที่เท่าเทียม เป็นส่วนตัว และปลอดภัยยิ่งขึ้น
#5 The Art of Invisibility
ชอบหรือไม่ ที่ทุกการเคลื่อนไหวของคุณถูกจับตามองและนำเอาไปวิเคราะห์ ข้อมูลประจำตัวของผู้บริโภคกำลังถูกขโมย และทุกย่างก้าวของบุคคลนั้นกำลังถูกติดตามและจัดเก็บเอาไว้
เป็นอะไรที่ครั้งหนึ่งเรื่องนี้อาจเคยถูกมองข้าม ความหวาดระแวงนั้นได้กลับกลายเป็นความจริง และความเป็นส่วนตัวก็เป็นเพียงสิ่งหรูหรา ที่น้อยคนจะสามารถได้มาหรือเข้าใจมันได้
หนังสือที่ใช้งานได้จริงเล่มนี้นี้ เควิน มิทนิค แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นโดยที่คุณไม่รู้ – และเขาสอน “ศิลปะแห่งการล่องหน” ให้คุณ มิทนิคเป็นแฮ็กเกอร์คอมพิวเตอร์ที่โด่งดังที่สุดในโลก และเคยเป็นที่ต้องการตัวมากที่สุด เขาได้แฮ็คเข้าไปในหน่วยงานและบริษัทที่มีอำนาจมากที่สุดและดูเหมือนจะไม่สามารถเข้าถึงได้ในประเทศ และจนถึงช่วงหนึ่งที่เขาอยู่เอฟบีไอระยะเวลาสามปี แม้ว่าตอนนี้ มิทนิค จะได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยของคอมพิวเตอร์ เขารู้ดีว่าช่องโหว่นั้นสามารถใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ได้อย่างไร และต้องทำอย่างไรเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น
ใน THE ART OF INVISIBILITY ผู้เขียนได้ให้ทั้งกลยุทธ์ออนไลน์และใช้ได้ในชีวิตจริง วิธีการที่ไม่แพงในการปกป้องคุณและครอบครัวของคุณ ด้วยคำแนะนำทีละขั้นตอนง่ายๆ หนังสือเล่มนี้ยังพูดถึงเทคนิค “elite” ขั้นสูง ซึ่งหากใช้อย่างถูกต้อง สามารถเพิ่มความเป็นส่วนตัวของคุณได้ การล่องหนไม่ได้มีไว้สำหรับฮีโร่เท่านั้น แต่ความเป็นส่วนตัวคือพลังที่คุณคู่ควรและต้องการในยุคสมัยใหม่นี้